สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราทุกคนกำลังรับมือกับวิกฤตจากธรรมชาติ โดยหนึ่งสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเป็นอย่างมาก คือ เรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่องของขยะ ที่เกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ที่มีการผลิตและใช้ แต่ไม่มีการจัดการอย่างถูกวิธี ดังนั้นในระยะหลังจะเห็นได้ว่าหลายองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างก็ให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือ การนำแนวคิด circular economy หรือ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาปรับใช้ในกระบวนการดำเนินธุรกิจมากขึ้น จากการที่มองว่า สสารบนโลกล้วนหมุนเวียนมาใช้ และก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่การสร้างความยั่งยืน ที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) ได้อย่างสมดุล
SCG Packaging หนึ่งในธุรกิจในเครือ SCG มีแผนที่จะ spin off ให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยอัตราการเติบโตของรายได้ย้อนหลัง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2562 เฉลี่ยอยู่ที่ 6.1% ซึ่งหลัก ๆ จะมี 2 สายธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integrated Packaging Chain) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน Supply Chain และตอบสนองลูกค้าในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เหล่านี้ก็จะเป็นบรรจุภัณฑ์จาก Fiber base ที่มีคุณสมบัติแข็งแรงทนทานและสามารถนำมา recycle ได้ถึง 95%
สายการผลิตที่สอง จะเป็นการผลิตเยื่อและกระดาษ ซึ่งจะเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทผลิตภัณฑ์ภาชนะสำหรับบรรจุอาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ “เฟสท์” (Fest®) โดยทั้งสองสายผลิตนี้ก็จะมีการผลิตอยู่ 5 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ SCG Packaging ก็ได้มีการขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการเข้าซื้อบริษัทที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้แม้ว่า SCG Packaging จะมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงมาก แต่ในขณะเดียวกันการเติบโตนั้นจากต้องควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้ Techsauce ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ‘วิชาญ จิตร์ภักดี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SCG Packaging ถึงการใช้แนวคิด Circular Economy หรือ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เข้ามาเป็นกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นการนำไปปรับใช้ตั้งแต่ภายนอกและภายในองค์กร เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน รวมไปถึงมีการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว
SCG Packaging ได้มีการดำเนินธุรกิจครอบคลุมตลาดอยู่ 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่ก่อนได้มีการสำรวจการเติบโตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พบว่าทั้ง 4 ประเทศนี้มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.8% แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้าอัตราการเติบโตจะเพิ่มมาอยู่ที่ 6.2% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงกว่าทางยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่น โดยมีปัจจัยมาจาก Mega Trend 4 ด้าน ได้แก่
เดิมทีเมื่อพูดถึงฟังก์ชั่นของบรรจุภัณฑ์ เมื่อก่อนจะมีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง ได้แก่ Protect การทำหน้าที่ป้องกันสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหาย และ Promote ทำหน้าที่ดึงดูดใจให้ลูกค้าเลือกหยิบสินค้า แต่ปัจจุบันหากมองจาก Mega Trend ที่กำลังเติบโตแล้ว จะเพิ่มไปอีก 2 ฟังก์ชั่น ได้แก่ Preserve ทำหน้าที่ให้สินค้าที่อยู่ข้างในบรรจุภัณฑ์มีอายุที่ยาวนานขึ้น และ Perform ถือเป็นฟังก์ที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวกับการพัฒนาของเทคโนโลยีที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ฉลาดมากขึ้น เพราะตรงนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ลึกลงไปด้วย
โดย SCG Packaging จะมี 2 หน่วยงานหลักที่จะทำหน้าที่ช่วยกันพัฒนานวัตกรรมของบรรจุภัณฑ์ ให้สามารถไปถึงตรงนั้นได้ นั่นคือ R&D Center หรือ PTDC (Product Technology and Development Center) ส่วนอีกหน่วยงานคือ Angering ที่จะทำหน้าที่ทำให้สิ่งที่ได้มีการวิจัยและพัฒนา ขึ้นมาสามารถเอาไปใช้ได้จริง โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะทำงานประสานกัน
ยกตัวอย่าง ในอนาคตอาจจะมีการ integrate censor เข้ามาใน Barcode หรือ QR Code ที่ปรากฎอยู่บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อที่จะทำให้เราสามารถตรวจสอบความเป็นไปของสินค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ การตรวจสอบการสูญหายของสินค้า หรือการตรวจสอบว่าเป็นสินค้าจริงหรือปลอม ก็สามารถทำได้หมด
นอกจากนี้นวัตกรรมที่ SCG Packaging ได้มีการพัฒนายังมีด้านของการทำให้สินค้า ที่เป็นผลิตภัณฑ์การเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ที่ประเทศไทยมีการส่งออก มีความสดใหม่ และยืดอายุของสินค้าได้อีกด้วย เช่น การใช้โพลีเมอร์ไปหุ้มลูกมะพร้าว โดยปกติแล้วมะพร้าวจะมีระยะเวลาอยู่ได้ 30 วัน แต่ใส่นวัตกรรมเข้าไปมะพร้าวจะอยู่ได้ 60 วัน เป็นต้น
จากการพัฒนาด้านนวัตกรรมทั้งหมดก็จะสามารถตอบโจทย์ผู้โภคตามเทรนด์ที่ได้พูดถึงไป ทั้งในแง่ของสิ่งแวดล้อม และการอำนวยความสะดวก โดยประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม คือ จะต้องทำให้ บรรจุภัณฑ์แบบเดิม ใช้วัสดุในการทำน้อยลง แต่ความแข็งแรงเท่าเดิม และฟังก์ชั่นครบ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ win-win กันทั้งลูกค้าและเราเอง สำหรับด้านความสะดวกของลูกค้า มองไปที่การทำให้บรรจุภัณฑ์มีความฉลาดมากขึ้น หรือ Smart Packaging ถือเป็นเรื่องที่เราต้องทำ
พร้อมกันนี้ SCG Packaging จะเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ solution เข้ามาตอบสนองเรื่อง product และบริการที่เป็น innovation และเรามีการ track ในเรื่อง customer behavior เพราะเราใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้เราหาวิธีการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด
บางครั้งลูกค้าอาจจะมีความต้องการแฝงอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ว่าต้องการอะไร ฉะนั้นหน้าที่ของเรา คือ ต้องไปหาความต้องการจริง ๆ ของลูกค้า หรือที่เรียกว่า Job to be done หรือ pain point ลูกค้า ถ้าหาได้แล้วตอบโจทย์ได้ นั่นถึงจะเรียกว่าเป็น solution ที่เราจะไปตอบโจทย์ลูกค้า
ก่อนอื่นต้องมาพูดถึงการทำบรรจุภัณฑ์ของ SCG Packaging โดยเฉพาะหมวด Fiber base packaging ส่วนนี้จะมีอัตราการนำวัตถุดิบกลับมา recycle อยู่ที่ 95% ส่วนอีก 5% คือเราใช้จากต้นไม้มาทำเยื่อและทำเป็นกระดาษ เนื่องจากลูกค้าล้วนแล้วแต่ต้องการความแข็งแรงของสินค้า เราจึงต้องมีการผสมผสานกันนอกจากนี้ยังมีเรื่องของการ recycling โดยเรื่องนี้ทาง SCG ได้ดำเนินการมากว่า 30-40 ปีแล้ว
พร้อมกันนี้ปัจจุบันเราก็เริ่มทำตู้สำหรับนำกล่องกระดาษหรือขวดน้ำมาใส่ไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อที่จะช่วยนำบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ กลับเข้ามาเข้ากระบวนการหมุนเวียนให้สามารถใช้ใหม่ได้อีกครั้ง หรือที่เรียกว่าเป็น Circular Economy นั่นเอง
โดยการดำเนินงานด้วยแนวคิด Circular Economy ของ SCG Packaging จะประกอบไปด้วย 5 business model ด้วยกัน ดังนี้
Circular Economy จะมี 2 คำ Circular คือการใช้ Reduce Reuse Recycle กลับมาใช้ใหม่ คำว่า economy คือทำแล้วต้องได้เงินให้เกิดสภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น กระบวนการสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้
จริงๆ เรื่องของความยั่งยืนสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ใช่แค่ Circular economy แต่ยังมีเรื่อง disruption ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ประโยคที่ว่า
"The world is moving faster than breathing and We don’t know the future, everything we know to be change."
ฉะนั้นสิ่งที่เราพยายามทำมาตลอด คือ การปลูกฝังคนของเราโดยเริ่มตั้งแต่จรรยาบรรณในการทำธุรกิจ 4 ข้อ ได่แก่ การตั้งมั่นในความเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้น stakeholder พนักงาน มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ เราต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นต่อสังคม และเชื่อมั่นในคุณค่าของคน จากการที่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป การที่จะคุมคนให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ คือ ต้องทำงานเชิงรุก ไม่ใช่รอให้มีความต้องการแล้วค่อยทำ เมื่อเป็นทำงานเชิงรุกแล้ว วิธีการคือ ต้องเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่เอาเจ้านายหรือบุคลากรในองค์กรเป็นศูนย์กลาง เพราะเงินทุกบาทมาจากลูกค้า เมื่อเรามีการทำงานเชิงรุกแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลับมายังแนวคิด ซึ่งมีอยู่ 2 แนวคิดคือ Open & Challenge
ผมขอแบ่งเป็นความท้าทายทั้งภายในและภายนอก คือ ความท้าทายจากภายนอก เช่น สงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีน ค่าเงินบาทแข็ง หรือแนมโน้มที่จะเกิดสงครามในตะวันออกกลาง ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกทั้งสิ้น ทุกคนโดนเหมือนกันหมด ก็อยู่ที่ว่าใครปรับตัวได้เร็วกว่ากันคนนั้นก็จะได้ประโยชน์จากการปรับตัวเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ยังอยู่ในมือเรา นั่นคือความท้าทายภายในที่อยู่ในมือเราและเราสามารถทำได้ มี 4 ปัจจัย คือ
ปัจจัยที่ 1 คือ manufacturing เกี่ยวกับเรื่องคน เครื่องจักร วิธีการ ปัจจัยเหล่านี้เราสามารถทำได้ พูดได้ว่าทำให้ดีอย่างไรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ 2 คือ เทคโนโลยี แทนที่เราจะแก้ตัวว่าค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกรายได้น้อย เราเอาเวลานั้นมาพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อที่จะลดต้นทุนให้ cover กับสิ่งที่เราสูญเสียไป
ปัจจัยที่ 3 คือ market excess คือการทำอย่างไรที่จะรู้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร ทุกวันนี้พฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปอย่างไร เขาสั่งเวลาไหน สั่งวันละกี่รอบ สั่งไปแล้วจะทำอย่างไร มีของเหลือหรือเสียไหม นี่คือ market excess และการที่เราเป็นที่หนึ่งในอาเซียนทำให้เรามองเห็นว่าเรามีส่วนนี้ค่อนข้างมาก ดังนั้นจะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า และสามารถตอบโจทย์หรือแก้ pain point ลูกค้าได้
ปัจจัยที่ 4 คือ Brand ลูกค้าซื้อสินค้าเราเพราะเขาเชื่อว่าสินค้าของเราดี ซื้อไปใช้แล้วไม่เคยมีปัญหา ราคาของบรรจุภัณฑ์เมื่อเทียบกับสินค้า เช่น ทีวี ตู้เย็น ราคาหลักหมื่น แต่บรรจุภัณฑ์ราคาแพง แต่ถ้ากล่องพังและสินค้าได้รับความเสียหาย แล้วใครจะรับผิดชอบ นี่คือ solution ที่เราให้กับลูกค้า สินค้าปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงขั้นส่งมอบให้ลูกค้าปลายทาง
ข้างต้นคือความท้าทาย 4 ปัจจัยภายในที่เราต้องคอยต่อสู้เสมอ ซึ่งก็คือ innovation ที่เราพูดถึงกัน
Sign in to read unlimited free articles