9 เทรนด์ AI กำหนดชะตาธุรกิจไทยปี 2024 | Techsauce

9 เทรนด์ AI กำหนดชะตาธุรกิจไทยปี 2024

AI เป็นกระแสอย่างมากในปี 2023 การเริ่มเข้ามามีบทบาทของ Generative AI ทำให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองอย่างต่อเนื่อง โดยแสดงให้เห็นว่า AI สามารถเข้ามาช่วยองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จในด้านต่าง ๆ 

ในปี 2024 นี้ AI จะยังคงเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อโลกธุรกิจ   หากมองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมาจะพบว่าบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้พยายามวางรากฐานนวัตกรรมโซลูชันต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Generative AI  ดังนั้นปี 2024 จึงเป็นปีแห่งการพิสูจน์ว่าธุรกิจต่าง ๆ จะสามารถนำนวัตกรรมเหล่านี้มาปรับใช้ในขั้นตอนการทำงาน เพื่อสร้างประโยชน์ โอกาส และผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ดีเพียงใด

มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2027 การใช้งาน AI จะสามารถสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจไทยได้มากถึง 48,000 ล้านบาท อีกทั้งยังจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจไทยประสบความสำเร็จในเวทีระดับโลก เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) บริษัทผู้นำอันดับหนึ่งด้าน AI CRM (ระบบการบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ Customer Relationship Management) ได้รวบรวมเทรนด์เทคโนโลยี และการใช้งาน AI ที่จะส่งผลต่ออนาคตของธุรกิจในประเทศไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน สำหรับปี 2024 ดังนี้

1. AI กำลังสร้างโอกาสทองให้กับธุรกิจไทย

ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง และมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการวางรากฐานสำหรับการนำ AI มาประยุกต์ใช้ โดยจากผลสำรวจของ Salesforce เกี่ยวกับดัชนีความพร้อมด้าน AI โดยรวมและของภาครัฐ (Government AI Readiness) พบว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอันดับการพัฒนาที่สูงมากที่สุดเมื่อเทียบการจัดอับดับจากปี 2021

เทรนด์นี้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงโอกาสของธุรกิจไทยในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันระดับโลก ในการบรรลุผลสำเร็จธุรกิจจำเป็นต้องวางแผนแนวทางการใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์  โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง การใช้งานเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ ประกอบกับการฝึกอบรมการใช้งาน AI และการตรวจสอบเพื่อให้การใช้ AI อยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและความรับผิดชอบ เพราะการใช้งาน AI อย่างถูกต้องจะสร้างคุณค่าอย่างมหาศาลให้แก่ธุรกิจในภูมิภาค

2. ยุคของการมีส่วนร่วมของลูกค้า: ในทุกด้าน ทุกที่ อย่างครบวงจรในเวลาเดียวกัน

ความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้นในปัจจุบันส่งผลให้มีการแข่งขันทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ การนำนวัตกรรมอย่าง AI ข้อมูล และระบบ CRM มาปรับใช้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2024 โซลูชันที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อการใช้งานเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมเป็นที่ต้องการมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ มองหาวิธีการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการที่เจาะจง ตรงจุด เพื่อรักษาฐานลูกค้า (Customer Loyalty) ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ เข้าใจกลุ่มลูกค้าของตนได้ดีขึ้นว่า กลุ่มลูกค้าคือใคร ใช้บริการผลิตภัณฑ์อะไรอยู่บ้าง และต้องการสินค้าใดในอนาคต

3. วางรากฐานด้านข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ประโยชน์จาก AI

เทคโนโลยี Generative AI ได้พัฒนาจากเทคโนโลยีที่ซับซ้อนจนกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน บริษัทต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ด้านข้อมูลที่แข็งแกร่งเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างแท้จริง องค์กรไทยจำนวนมากยังไม่ได้นำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในขณะเดียวกัน บางองค์กรได้เริ่มวางรากฐานการใช้งาน AI ในปี 2024 โดยมุ่งเน้นไปที่การเชื่อมต่อระบบการจัดเก็บข้อมูลและการรวบรวมให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (Data Harmonisation) และลดการจัดเก็บข้อมูลแบบแยกส่วนกระจัดกระจาย (Silo) เพื่อดึงเอาประโยชน์ฐานข้อข้อมูลที่มี และการกระจายศูนย์กลางเพื่อให้สามารถวิเคราะห์เชิงลึกเฉพาะความต้องการบุคคลได้ 

รวมถึงการให้ความสำคัญในด้านการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ เป็นการผลักดันให้ธุรกิจต้องวางกรอบแนวทางการกำกับดูแลด้านข้อมูลที่รัดกุม ซึ่งรวมถึงนโยบายที่ชัดเจนในการรวบรวม จัดเก็บ การนำไปใช้ รวมถึงการติดตาม ตรวจสอบข้อมูลที่ใช้ในการฝึกฝนระบบ (Training Data) อย่างต่อเนื่อง

4. ความรับผิดชอบต่อการให้บริการของแชทบอท ซึ่งยังคงจำเป็นต้องมีมนุษย์ควบคุมดูแล ควบคู่ไปกับการใช้ AI

แม้ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) จำนวนมากจะสามารถสร้างแชทบอตที่มีประสิทธิภาพขั้นสูงซึ่งสามารถสนทนาและโต้ตอบได้เหมือนมนุษย์จริง การที่มีคนตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการให้บริการของแชตบอตในปัจจุบันนั้น เป็นสัญญาณว่าอนาคตที่แชทบอตสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างอิสระโดยไม่มีการควบคุมดูแลของมนุษย์ยังเกินเอื้อม

ธุรกิจต่าง ๆ ยังคงระมัดระวังต่อปัญหาด้านความถูกต้องของข้อมูล และความรับผิดชอบจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นการควบคุมดูแลแชทบอตโดยมนุษย์จึงยังคงจำเป็นอยู่ เพื่อร่วมตรวจสอบ และแก้ไขความผิดพลาดซึ่งเกิดจากการทำงานของ AI เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ธุรกิจ

5. ระบบออโตเมชั่นเพื่อการใช้งานในระดับกว้าง จะได้รับความนิยมมากขึ้น

การพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการใช้งาน AI และระบบการทำงานแบบอัตโนมัติหรือออโตเมชั่น หมายความว่า LLM จะไม่ถูกจำกัดเฉพาะการใช้งานเพื่อสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้เพื่อการตัดสินใจ และปรับรูปแบบของกระบวนการทำงาน (Workflow) ให้เป็นระบบอัตโนมัติอีกด้วย  ในปี 2024 เราจะเห็นธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้นที่ปรับกระบวนการทำงานบางส่วนให้เป็นอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยใช้ AI สำหรับงานพื้นฐาน เช่น การประมวลผลคำสั่งซื้อสินค้า การชำระเงิน และการสนับสนุนหลังการขาย  AI ยังสามารถเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์หาความน่าจะเป็นและนำผลลัพธ์ที่ได้มาประมวลผลต่อโดยอัตโนมัติ ความสามารถและประสิทธิภาพเหล่านี้ สามารถลดปริมาณงานที่ทำซ้ำ ๆ เป็นประจำ และเพิ่มเวลาให้พนักงานในการทำงานที่ตอบสนองกับความต้องการ มีประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าให้ธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น

6. โมเดลภาษา LLM ที่มีความเฉพาะเจาะจง จะได้รับความนิยมมากขึ้น

หลังจากที่เราได้เห็นกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ Generative AI ในปี 2023 Salesforce มองว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัวโมเดลภาษา LLM ที่มีขนาดเล็กลง และมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นในปี 2024 แม้ว่า LLM รูปแบบพื้นฐานจะยังคงเป็นแกนหลักของ Generative AI แต่โมเดลเหล่านั้นมีลักษณะทั่วไปซึ่งออกแบบมาเพื่อผู้ใช้จำนวนมาก และมีราคาสูง บริษัทจำนวนมากจึงจะเริ่มพัฒนาและใช้โมเดลภาษาเฉพาะด้านที่มีขนาดเล็กลง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความหน่วง (Latency)

LLM เฉพาะด้านเหล่านี้จะถูกฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลที่มีความเฉพาะทาง เพื่อให้ Generative AI สามารถนำข้อมูลมาใช้ตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงโมเดลที่มีความเชี่ยวชาญภาษาไทย โมเดลเฉพาะทางเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เนื่องจากไม่ได้ถูกใช้งานสำหรับการถามคำถามทั่วไป จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านพื้นที่เก็บข้อมูล และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี

7. AI จะทำให้การสร้างแอปพลิเคชันง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

ในปี 2024 นี้ AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างแอปพลิเคชันของเราไปเป็นอย่างมาก โดยทีมนักพัฒนาจะมีอินเตอร์เฟซในการใช้งานที่ง่ายขึ้น และสามารถสร้างแอปพลิเคชันด้วยภาษาแบบธรรมชาติที่ใช้โดยทั่วไป ผ่านการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า ‘พร้อมท์’ (Prompt) ซึ่งเชื่อมต่อกับโมเดลภาษา LLM และฐานข้อมูลที่สนับสนุน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่นักพัฒนาต้องการได้ ด้วยเทคนิคการเพิ่มความสามารถของ AI ผ่านการทดสอบผลลัพธ์เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล (Data Grounding) การสร้างแอปพลิเคชันจะเรียบง่ายขึ้นมากเนื่องจากเรากำลังทำงานกับข้อมูลเชิงบริบท ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์นั้นมีความถูกต้องและเชื่อมโยงกับบริบทมากขึ้น และการเข้าถึง AI อย่างเสรีทำให้ทีมพนักงานที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคหรือไม่ได้มีหน้าที่ด้าน IT โดยตรง ก็สามารถกลายเป็นนักพัฒนาดิจิทัลได้เช่นกัน

8. ฟังก์ชันการให้บริการลูกค้า จะเป็นผู้นำด้านการนำ AI มาใช้

ความก้าวหน้าของการสืบค้นข้อมูลเชิงความหมาย (Semantic Query) หรือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาข้อมูลในรูปแบบภาษาที่ใช้โดยทั่วไป จะปฏิวัติยกระดับการให้บริการลูกค้าและพลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลแบบใหม่ ขณะนี้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถใช้ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และเสียงในการค้นหาข้อมูลซึ่งมี AI เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้บริการที่รวดเร็ว และเฉพาะเจาะจงตามความต้องการมากขึ้น

ภาคธุรกิจที่สำคัญต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยวและการบริการ กำลังเป็นผู้นำด้านการลงทุนใน Generative AI และระบบอัตโนมัติ หลังจากที่อุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ดังเห็นได้จาก ฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ (Philippine Airlines) ที่วางแผนในการนำ Einstein Chatbot ของ Salesforce มาใช้ตอบคำถามลูกค้า

9. ในยุคของ AI ธุรกิจและพนักงานต้องวางแผนเพื่อสร้างลักษณะงานที่เพิ่มคุณค่ามากขึ้น 

ผู้นำทางธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญและมั่นใจว่าพวกเขาได้มอบโอกาสในการยกระดับทักษะให้กับพนักงานเพื่อตอบรับกับบทบาทใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น โดยทักษะมีความต้องการเป็นอย่างมากเช่นการสืบค้นคำถามเชิงความหมาย (Semantic Query) หรือการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบซึ่งรวมถึงการตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างคอนเทนต์ 

นอกจากนี้แล้วการพัฒนาทักษะทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Soft Skill) รวมถึงทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการเป็นผู้นำและการจัดการ และมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

คุณอามิท ซักซีน่า (Amit Suxena) รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของ Salesforce กล่าวว่า “ปี 2023 นับเป็นปีแห่งการวางรากฐานด้าน AI และปีนี้จะเป็นปีที่พิสูจน์ว่าธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้ในขั้นตอนการทำงานขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างประโยชน์ โอกาส และผลลัพธ์ได้ดีเพียงใด ธุรกิจในภูมิภาอาเซียนยังมีโอกาสในการเติบโตเป็นอย่างมาก โดย AI จะเป็นเทคโนโลยีที่นำพาองค์กรไปสู่ยุคใหม่ของการเติบโต ในขณะที่ธุรกิจได้กำหนดนิยามของการมีส่วนร่วมของลูกค้าและความสำเร็จด้านการบริการขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญคือธุรกิจในภูมิภาคจะต้องคว้าโอกาสที่จะสร้างการเติบโตนี้ไว้ให้ได้”

Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

AirAsia MOVE ประกาศรีแบรนด์ดิ้งใหม่ สู่ผู้นำแพลตฟอร์มเดินทาง OTA แบบคุ้มครบจบในแอปเดียว พร้อมแพ็กเกจบินทั่วอาเซียนแบบไม่จำกัด

airasia Superapp ประกาศรีแบรนด์ดิ้งใหม่ในชื่อ AirAsia MOVE พร้อมปรับโฉมแอปพลิเคชันใหม่ และเสริมกลยุทธ์ด้านธุรกิจเพื่อผลักดันให้ AirAsia Move เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์ม OTA (ตัวแทนด้านก...

Responsive image

Indorama Ventures ออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้าน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจยั่งยืน

Indorama Ventures ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ประกาศความสำเร็จในการระดมทุน 1 หมื่นล้านบาท ผ่านการออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนร...

Responsive image

Jitta ก้าวสู่ปีที่ 12 เดินหน้าแก้วิกฤตการเงิน หนุนคนไทยออมและลงทุนอัตโนมัติ

Jitta เข้าสู่ปีที่ 12 เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า...