บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ตอกย้ำทิศทางการสร้างการเติบโตของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจพลังงานในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่สะอาดขึ้นและนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น โดยรุดขยายธุรกิจในปี 2566 - 2568
ตามแผนการจัดสรรงบลงทุน (CAPEX) ในสัดส่วนร้อยละ 40 เพื่อการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติ (Gas-based business) และอีกร้อยละ 60 ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีพลังงาน และธุรกิจอื่นๆ ภายใต้ กลยุทธ์ Greener & Smarter และจุดยืนในการส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน (Smarter Energy for Sustainability)
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยว่า “บ้านปูขยายการเติบโตของธุรกิจในสหรัฐฯ ให้ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเล็งเห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่สำคัญของบ้านปู ผนวกกับทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกที่เอื้อให้บ้านปูขยายการเติบโตในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่ในตลาดไฟฟ้าเสรี Electric Reliability Council of Texas หรือ ERCOT ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ตลาดไฟฟ้าที่มีการเติบโตสูงสุดของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังต่อยอดสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องในตลาดไฟฟ้าเสรี ทั้งธุรกิจซื้อขายไฟ (Power Trading) และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า (Power Retail) เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงให้แก่ผู้บริโภครายย่อย ทั้งหมดนี้ล้วนตอบโจทย์การทำธุรกิจพลังงานครบวงจรของบ้านปู และเสริมสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง”
ล่าสุดจากความสำเร็จในการลงทุนเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2566 ในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วอย่าง Temple II ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) ที่มีกำลังผลิต 755 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา อยู่ติดกับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้การดำเนินการและบริหารจัดการโรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น เอื้อต่อการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้ได้ประโยชน์สูงสุด (Economies of Scale) อีกทั้งยังพร้อมผสานพลังและสร้างคุณค่าร่วมกันกับแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่เดิมของบ้านปู ไม่ว่าจะเป็นแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ (Barnett) ในรัฐเท็กซัส ที่บ้านปูบริหารจัดการระบบกลางน้ำซึ่งเป็นท่อขนส่งก๊าซความยาวมากกว่า 778 ไมล์ และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเอง นอกจากนั้น บ้านปูยังมีแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งรวมทั้งสองแหล่งแล้วมีกำลังผลิตถึง 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่พิสูจน์แล้ว (1P) ในสหรัฐฯ 5.8 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่า โดยในปัจจุบันบ้านปูยังคงสถานะเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด 20 อันดับแรกของสหรัฐฯ และในปีที่ผ่านมา ธุรกิจก๊าซธรรมชาติก็สามารถสร้าง EBITDA ให้บ้านปูถึง 1,052 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น บ้านปูยังสนับสนุนการยกระดับความยั่งยืนในกระบวนการผลิต ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้วยการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ในแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ ที่สอดรับนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้
ในครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จากราคาก๊าซธรรมชาติและปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามรายงานของ EIA[2] ในขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงานจะสามารถรับรู้รายได้เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้า Temple II ที่เข้าไปลงทุนได้ทันที
“บ้านปูเชื่อมั่นว่าทิศทางการลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศยุทธศาสตร์ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ในพอร์ตธุรกิจ ที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจ เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จะสามารถสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้ตามที่บริษัทฯ มุ่งหวัง” นางสมฤดี กล่าวทิ้งท้าย
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจของบ้านปูได้ที่ https://www.banpu.com/ และ เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Banpuofficialth/
Sign in to read unlimited free articles