‘Abnormal-New Abnormal-New Normal’ 3 ระยะที่โลกเผชิญในวิกฤติ COVID-19 | Techsauce

‘Abnormal-New Abnormal-New Normal’ 3 ระยะที่โลกเผชิญในวิกฤติ COVID-19

จากการระบาดของไวรัส COVID-19 ทั่วโลกทำให้หลาย ๆ ประเทศนั้นเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลาย ๆ คนอาจจะยังสงสัยว่าตอนนี้สภาพเศรษฐกิจของเรานั้นอยู่ถึงจุดตกต่ำที่สุดแล้วหรือยัง? ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ New Normal แล้วหรือไม่? Techsauce จึงได้รวบรวมคำตอบมาให้ทุกท่านผ่านการพูดคุยกับ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท Sea (Group) ที่มีบริษัทในเครืออย่าง Garena, Shopee และ AirPay ที่ได้วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการปรับตัวของ Tech Giant หลัง COVID-19 

ภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาค SEA “ขึ้น” หรือ “ลง”

ทางคุณสันติธารได้เผยว่า เศรษฐกิจในตอนนี้นั้นถือว่าถูกผลกระทบหนักมากในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งเร็ว ๆ นี้ตัวเลข GDP ของไตรมาสที่ 1 ได้ออกมาแล้ว ตัวเลขที่ออกมานั้นก็ค่อนข้างแย่กว่าที่นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนคาดการณ์ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ถือว่าแย่กว่าตอนนี้เกิดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งเสียอีก

ตัวเลข GDP ที่ออกมาในไตรมาสที่ 1 นี้ จะไม่ใช่ตัวเลขที่ต่ำที่สุด แต่จะอยู่ในไตรมาสที่ 2

ซึ่งคุณสันติธารได้ให้เหตุผลว่า เพราะว่าในไตรมาสที่ 1 จะมีแค่ประเทศจีนที่ทำมาตรการ Lockdown แต่ประเทศในอาเซียนในช่วงต้นปีนั้นยังไม่มีมาตรการใด ๆ และพึ่งเริ่มที่จะใช้มาตรการในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 และทำการ Lockdown ในต้นไตรมาสที่ 2 อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ตัวเลขที่ต่ำที่สุดจะไปอยู่ในไตรมาสที่ 2 นั่นเอง ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจนั้นเริ่มเดินถอยหลังมาตั้งแต่ก่อนที่จะใช้มาตรการจริง ๆ เสียอีก

โดยสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันของแต่ละประเทศในอาเซียนก็แตกต่างกันไป ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะต้องพิจารณาอยู่ 3 ปัจจัยก็คือ แต่ละประเทศมีการรับมือกับการระบาดอย่างไร, เศรษฐกิจนั้นพึ่งพาอุตสาหกรรมใด และมีนโยบายที่เข้ามาช่วยเหลือในภาคเศรษฐกิจอย่างไร 

  • สิงคโปร์ เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักจากการพึ่งพาการส่งออกเยอะค่อนข้างมาก เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ส่งผลค่อนข้างหนัก รวมถึงจากสถานการณ์การระบาดระลอก 2 ทำให้ต้องมีมาตรการ ‘Circuit Breaker’ ทำให้เศรษฐกิจนั้นถูกผลกระทบในระยะเวลายาวขึ้นไปอีก

  • มาเลเซีย ค่อนข้างคล้ายกับสิงคโปร์ตรงที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างเยอะ และก็ส่งผลกระทบมากขึ้นไปอีกจากราคาน้ำมันตกต่ำ เนื่องจากประเทศนั้นพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ำมันค่อนข้างมาก

  • ฟิลลิปปินส์และอินโดเนเซีย มีมาตรการรับมือการระบาดนั้นไม่ดีอย่างเท่าที่ควร อย่างฟิลิปปินส์ที่ได้ทำมาตรการ Lockdown แต่ด้วยการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ภาค Logistic นั้นชะงักตัว ซึ่งทำให้เกิด Disruption ขนาดใหญ่ และในส่วนอินโดเนเซียที่เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้นมีการตอบโต้กับสถานการณ์ช้า ซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อนั้นค่อนข้างสูง บวกกับการระบาดที่ทำให้ค่าเงินผันผวน ทำให้เศรษฐกิจนั้นถูกผลกระทบค่อนข้างหนัก

  • ไทย ต้องยอมรับว่าในเรื่องของสาธารณสุขของไทยนั้นค่อนข้างดี ในแง่การควบคุมการระบาดของไวรัส แต่ข้อเสียของไทยนั้นก็คือ ประเทศนั้นพึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก แต่ภาคการท่องเที่ยวนั้นจะกลับมาเปิดเป็นภาคสุดท้าย ซึ่งเศรษฐกิจของไทยอาจจะไม่ได้ฟื้นในเร็ว ๆ นี้ และภาคการเกษตรที่ถูกผลกระทบจากภัยแล้ง ที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยนั้นได้รับผลกระทบมากขึ้นไปอีก

  • เวียดนาม เป็นประเทศที่ค่อนข้างมีมาตรการรับมือได้ดีตั้งแต่ต้น จึงเป็นประเทศที่ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในหมู่ประเทศอาเซียน

ช่วงใดคือ “จุดต่ำสุด” ของเศรษฐกิจ

คุณสันติธารเผยว่า จุดต่ำสุดจริง ๆ ในตัวเลข GDP จะอยู่ที่ไตรมาส 2 เนื่องจากการ Lockdown อย่างสมบูรณ์แบบนั้นอยู่ในไตรมาสนี้ แต่ถ้าในเรื่องของความรู้สึก ในไตรมาส 3 นั้นคนจะรู้สึกว่าสถานการณ์นั้นแย่พอ ๆ กับไตรมาส 2 เนื่องจากในไตรมาส 2 นั้นบริษัทต่าง ๆ ยังมีความพยายามที่จะประคับประคองบริษัทไปก่อน ไม่ปลดพนักงานออก แต่ในไตรมาส 3 อาจจะเริ่มเห็นหลาย ๆ บริษัทนั้นไม่ไหวแล้ว เรื่องปัญหาหนี้ ๆ ต่าง มีการเลิกจ้างงานมากขึ้น ซึ่งในช่วงกลางปีนี้จะเป็นช่วงที่คิดว่าแย่ที่สุด

แต่ในส่วนของการฟื้นตัวนั้น คุณสันติธารได้เผยถึง 2 บริบทที่อาจจะเกิด คือ “U Shape” การฟื้นตัวจะค่อย ๆ ดีขึ้น ในกรณีที่มีการค่อย ๆ เปิดเมือง ยอมสละให้เศรษฐกิจฟื้นช้าเพื่อความปลอดภัย และแบบ “W Shape” การกลับมาเปิดเมืองแบบรวดเร็ว ซึ่งวิธีนี้มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดละรอก 2 และอาจจะส่งผลให้เกิดการ Lockdown รอบใหม่

อย่างไรก็ตามแต่ ในสองบริบทนี้เราจะไม่ได้เห็นการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด และเราจะไม่เข้าสู่ New Normal จริง ๆ จนกว่าการพัฒนาวัคซีนนั้นจะสำเร็จ

ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อ SEA Group

ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็น “มหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ” ไม่ว่าจะภาคส่วนใด ในตอนแรกก็อาจจะมีเรื่องของ Disruption ในเรื่องของ Supply Chain และ Logistic ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต แต่ในตอนนี้ที่เราเริ่มเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง ผู้คนนั้นขาดรายได้ และกำลังซื้อนั้นลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อ Demand ของทั้งเศรษฐกิจ

             วิกฤตินี้เป็นวิกฤติที่ไม่มีใครรอด

แต่ละภาคอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป โดยภาคที่กระทบเยอะที่สุดจะเป็นธุรกิจในกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับลูกค้า ธุรกิจสถานบันเทิง และการท่องเที่ยว และภาคที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดก็จะเป็นกลุ่มธุรกิจจำพวก Healthcare และ From Home Economy หรือธุรกิจที่อำนวยสะดวกการอยู่บ้าน เช่น เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการทำ Video Conference, กลุ่มธุรกิจ Entertainment อย่าง ธุรกิจให้บริการหนัง เพลงและเกม, กลุ่ม E-Commerce อำนวยความสะดวกการซื้อ-ขายของผ่านช่องทางออนไลน์ และรวมถึงกลุ่ม E-Payment ที่ช่วยลดการสัมผัสระหว่างกันมากขึ้น

ซึ่งธุรกิจของ SEA Group นั้นจะอยู่ในกลุ่ม E-Sport, E-Commerce และ E-Payment ซึ่งก็เป็น 3 ภาคธุรกิจที่ช่วยให้เศรษฐกิจนั้นยังเดินต่อไปได้ หลาย ๆ คนก็หันมาใช้เครื่องมือทางดิจิทัลกันมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นแค่ตัวเลือก แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้เกิด “Adoption” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นทางบริษัทก็ได้พยายามหาทางที่จะช่วยให้เศรษฐกิจนั้นยังขับเคลื่อนไปได้ผ่านแคมเปญต่าง ๆ 

โดยทาง Garena ได้ทำแคมเปญ “แบกหมอสู้โควิด” ที่ทำการระดมทุนผ่านการแข่งขัน E-Sport และยังได้ร่วมมือกับภาคการท่องเที่ยวจัดการแข่งขัน E-Sport สนับสนุนให้คนนั้นอยู่บ้าน รวมถึงการใช้ช่องทางเกมมาเป็นกระบอกเสียงกระจายเสียง เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ COVID-19

ในส่วนของ Shopee ได้มีการแบ่งความช่วยเหลือออกเป็นหลาย ๆ เฟส ซึ่งในเฟสแรกจะเน้นทางเรื่องสาธารณะสุข ทำอย่างไรให้คนเข้าถึงอุปกรณ์อนามัยจากที่บ้านได้ แต่ในตอนนี้ก็จะเริ่มเข้าสู่เฟสใหม่แล้ว ความช่วยเหลือก็จะไปเน้นทางด้าน SMEs มากขึ้น

“Abnormal-New Abnormal-New Normal” 3 เฟสในวิกฤติ COVID-19

ภายใต้วิกฤติ COVID-19 นี้เราจะเจอ 3 เฟสด้วยกัน คือ Abnormal, New Abnormal และ New Normal

  • Abnormal เป็นระยะก่อนหน้านี้ ที่เป็นวิกฤติที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งในช่วงนี้เรื่องของสาธารณะสุขสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เน้นการหยุดการแพร่เชื้อ และยอมสละเรื่องของเศรษฐกิจไปก่อน โดยบริษัทในช่วงนี้จะเน้นเรื่องของการ “อยู่รอด” ทำอย่างไรให้รอดไปได้ก่อน

  • New Abnormal เป็นยุคเปลี่ยนผ่าน คือเรายังอยู่ในสถานการณ์ Abnomal อยู่ แต่ไม่เหมือนเดิม เป็นจุดที่เรากังวลเรื่องของเศรษฐกิจเท่ากับเรื่องของการระบาด และเป็นระยะที่รัฐบาลต่าง ๆ นั้นเริ่มคลายมาตรการ Lockdown ซึ่งเป็นการเปิดแบบค่อย ๆ เปิดไปที่ละภาคส่วน ทำให้ในช่วงนี้มีการทดลองค่อนข้างเยอะ รัฐบาลต้องมีการลองผิดลองถูก ในส่วนของบริษัทในระยะนี้คือต้อง “อยู่เป็น” เป็นช่วงที่บริษัทนั้นเริ่มกลับมาเปิด แต่ต้องไม่เหมือนเดิม ต้องเริ่มมีการบริหารความเสี่ยง ทำการทดลอง ค่อย ๆ ลงทุนและปรับตัวไป เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าสถานการณ์การระบาดในจะดีขึ้นหรือแย่ลง

  • New Normal เป็นระยะหลังการระบาด ซึ่งจะเป็นโลกแห่งการ “อยู่ยืน”

สามารถแบ่งออกมาเป็นระยะสั้น “อยู่ยืน” ระยะกลาง “อยู่เป็น” และระยะยาว “อยู่ยืน” ซึ่งเป็นยุทธ์ศาสตร์ที่บริษัทนั้นได้นำมาใช้

โดยทางคุณสันติธารได้ทิ้งท้าย ให้กำลังใจหลาย ๆ คนที่เผชิญวิกฤติในครั้งนี้อยู่ และเน้นย้ำถึงโอกาสในการสร้างคน สร้างบริษัท ค้าหาเป้าหมายและบทบาทของตัวเอง และเมื่อวิกฤติได้ผ่านพ้นไป จะทำให้เรานั้นก้าวและวิ่งไปข้างหน้าได้กว่าเดิม เราอาจจะเห็นบางคนนั้นโชคดีหรือประสบความสำเร็จ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการที่พวกเขานั้นเตรียมพร้อมและใช้เวลาของเขาให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นเราจึงต้องพัฒนาและเตรียมตัวเองให้พร้อม เมื่อวิกฤติได้ผ่านพ้นไป เราก็จะรู้ว่าใครนั้นโชคดีหรือโชคไม่ดี

   Luck is what happens when opportunity meets preparation





Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

AirAsia MOVE ประกาศรีแบรนด์ดิ้งใหม่ สู่ผู้นำแพลตฟอร์มเดินทาง OTA แบบคุ้มครบจบในแอปเดียว พร้อมแพ็กเกจบินทั่วอาเซียนแบบไม่จำกัด

airasia Superapp ประกาศรีแบรนด์ดิ้งใหม่ในชื่อ AirAsia MOVE พร้อมปรับโฉมแอปพลิเคชันใหม่ และเสริมกลยุทธ์ด้านธุรกิจเพื่อผลักดันให้ AirAsia Move เป็นผู้นำด้านแพลตฟอร์ม OTA (ตัวแทนด้านก...

Responsive image

คนไทยไปญี่ปุ่น เตรียมสแกนจ่ายได้ ผ่านระบบ QR Code คาดเริ่มเมษาปีหน้า

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มพูดคุยกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเปิดใช้งานบริการชำระเงินผ่าน QR Code ร่วมกัน ช่วยให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายสะดวกสบาย ไ...

Responsive image

Jitta ก้าวสู่ปีที่ 12 เดินหน้าแก้วิกฤตการเงิน หนุนคนไทยออมและลงทุนอัตโนมัติ

Jitta เข้าสู่ปีที่ 12 เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า...